ชื่อ "ฮอนด้า"สื่อความหมายถึงมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่ปี 1948 เมื่อ “โซอิจิโร ฮอนด้า” ได้เปลี่ยนสถาบันวิจัยเทคนิคฮอนด้า ให้กลายเป็น “บริษัทฮอนด้ามอเตอร์” รถจักรยานยนต์คันแรกผลิตขึ้นเมื่อปี 1949 โดยในทางเทคนิค คือมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เครื่องยนต์ Honda Type A ซึ่งในรุ่นต่อมาคือ Type D ก็ได้กลายเป็นโมเดลเพื่อการผลิตจริงๆ โดยมีเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพียง 98 cc. ขนาด 2 จังหวะ 3 แรงม้าวางบนเฟรมโลหะ
นับตั้งแต่ยุคเริ่มต้น ฮอนด้าก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในด้านเทคโนโลยี
และการพัฒนารถจักรยานยนต์โดยเป็นผู้นำในการพัฒนาในหลายๆ รุ่น พร้อมกับ
ริเริ่มพัฒนาตัวต้นแบบ 1-2 รุ่นไปพร้อมกัน ในบรรดามอเตอร์ไซค์ทุกรุ่นของฮอนด้า กล่าวได้ว่า นี่คือ “8 สุดยอดมอเตอร์ไซค์ที่ฮอนด้าเคยสร้างขึ้นมา”
1.Super Cup
Honda Super Cup (หรือ Honda Cup) นับเป็นรถเครื่องยนต์สูบเดี่ยวที่ถูกผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฮอนด้า Super Cup เปิดตัวครั้งแรกในปี 1958 และตอนแรกคาดว่า จะออกทำตลาดเพียงแค่ปีเดียว แต่กลับถูกผลิตโดยไม่เคยหยุดพัก จนกระทั่งทุกวันนี้ โดยมียอดการผลิตมากกว่า 100 ล้านคัน
ความนิยมของ Super Cup มีสาเหตุมาจาก ในช่วงปี 1950 รถยนต์ยังมีราคาแพงมากในหลายๆ แห่งของโลก โดยเฉพาะในเอเชีย ทั้งในญี่ปุ่นเองก็กำลังเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ จริงๆ แล้ว Super Cup C100 ก็ขายได้ไม่ดีนักในตอนแรก ลุกค้ามีปัญหาเกี่ยวกับคลัตช์ซึ่งติดกับเกียร์แบบ 3 สปีด แต่โซอิจิโร ฮอนด้า ไม่ได้เพิกเฉย เขาเพิ่มการให้บริการโดยให้ทั้งช่างและผู้บริหารไปเยี่ยมเยือนลูกค้าที่มีปัญหาไม่เว้นแม้แต่วันหยุด จนทำให้ปัญหาคลัตช์ได้รับการปรับปรุงแก้ไขในรุ่นต่อมา และทำให้คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 Super Cup C102 ถูกส่งไปจำหน่ายทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในแถบเอเชีย โมเดลดังกล่าว มีจุดเด่นคือความทนทาน ประหยัด ซ่อมบำรุงง่าย ยอดขายเพิ่มมากขึ้น จนมีการสร้างโรงงานเพิ่มเพื่อผลิต Super Cup มากกว่า 7 หมื่นคันต่อเดือน และทุกวันนี้ คุณสามารถหาซื้อ Honda Super Cup ได้แทบทุกแห่งในโลกทั้งของใหม่และมือสอง
2.CB750
ถัดจาก Super Cup รุ่นที่รู้จักแพร่หลายมากคือ CB750 ในฐานะของมอเตอร์ไซค์ที่เป็นหมุดหมายสำคัญที่สุดที่เคยสร้างขึ้นมา มันถูกผลิตขึ้นในปี 1969 โดยมีเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ความจุกระบอกสูบ 736 cc. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้พลัง 68 แรงม้า และทำความเร็วได้มากกว่า 200 กม./ชม. ซึ่งนับเป็นรถมอเตอร์ไซค์ "Sport Bike"ที่ทรงพลังที่สุดในขณะนั้น
ต้องบอกก่อนว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว มอเตอร์ไซค์ยังคงมีเพียงสูบเดียวหรือสองสูบ
และมีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 500 cc. และมีเพียงมอเตอร์ไซค์ระดับสูงจากอังกฤษอย่าง Norton ,Royal Enfield , Triumph เท่านั้นที่ถูกเรียกว่า "Sport Bike"ทั้งยังมีราคาแพงมากด้วยดังนั้น CB750 ที่ฮอนด้าสร้างขึ้น คือรถมอเตอร์ไซค์ 4 สูบที่ทรงพลัง โดยเป็นรถรุ่นแรกที่ใส่ดิสค์เบรกหน้า มีโครงสร้างรถที่คล่องตัว และยังมีเครดิตจากชื่อเสียงที่สั่งสมมา บวกกับราคาที่ต่ำกว่ารถจากอังกฤษ และมีความคุ้มค่ามากกว่า นอกจากนี้ CB750 ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการทำการตลาดแบบ “ใช้เทคโนโลยีรถแข่ง แต่มุ่งขายให้กับคนทั่วไป” บนพื้นฐานของความสำเร็จของฮอนด้า หากจะเรียกว่า Honda CB750 คือซุปเปอร์ไบค์คันแรกของโลกก็ไม่ผิดนัก ฮอนด้าได้ต่อยอดความสำเร็จนี้ไปสู่มอเตอร์ไซค์ ที่ใช้ในการแข่งอย่าง CR750 (CB750K1,K4) ทำให้ฮอนด้าชนะการแข่งขันและได้รับรางวัล Tourist Trophies เช่น Isle ofMen TT ในเวลาต่อมา
3.CBX
Honda CBX เกิดขึ้นในสถานการณ์แปลกๆ แต่ก็สวยงาม โดยมันถูกผลิตขึ้นในปี 1978 ซึ่งได้มีรถสปอร์ตไบท์มากมายถูกผลิตออกมาจากแบรนด์หลักอย่าง Triumph และ Benelli แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ CBX ออกสู่ตลาด มันก็ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 โดยเฉพาะการนำไปแข่งขัน
CBX ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเครื่องยนต์รถแข่ง Honda RB174 ในปี 1964
ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นเครื่องยนต์เพื่อการใช้งาน
บนท้องถนน แต่เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ต้นแบบ 297 cc. ให้กลายเป็นเครื่องยนต์ขนาด
1,047 cc. สี่วาล์วต่อสูบ แต่ละสูบมีคาร์บูเรเตอร์แยก ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ที่ให้แรงม้า 105 HP และแรงบิด 71.85 Nm
เบาะนั่งต่ำและเยื้องหลัง เสียงท่อที่เกือบจะทำให้สับสนกับรถแข่ง F1
ถังน้ำมันยาวแบนราบ ทำให้ผู้ขับต้องโน้มตัวไปข้างหน้า กลายเป็นสไตล์ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ว่า "Sport Tuck" CBX คือมอเตอร์ไซค์ขนาด 1 ลิตรที่ทรงพลังแต่ขับง่าย มีคลัทช์หนักแต่ให้ความรู้สึกที่ดี ให้พลังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองแรงบิดทันทีที่คุณต้องการ ตอนที่ CBX เปิดตัว นักวิจารณ์หลายคนไม่เคยสัมผัสเทคโนโลยีอะไรแบบนี้มาก่อนเลย แม้ว่า CBX จะมีรุ่นที่เล็กกว่าคือ CB900F ขนาด 4 สูบและขายดีกว่า แต่ CBX คือรถที่นักวิจารณ์ต่างยกย่องว่า "ควรซื้อ"และยังเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่นิตยสารหลายคันทำการทดสอบแล้วได้ความเร็วมากกว่า 210 กม./ชม. รวมทั้งยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมอเตอร์ไซค์ที่ "มีเสียงดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา" เมื่อมันวิ่งเข้ามาใกล้ คุณแทบจะแยกไม่ออกเลยระหว่าง CBX กับรถ Formula 1
4.VFR750R
นี่คือหนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์ที่ดีที่สุดที่เคยสร้างขึ้นมา VFR750R (หรือรหัส NC30
ในการแข่งขัน) โด่งดังจากการแข่งขัน World SuperBike Championship แต่ถูกผลิตครั้งแรกในปี 1988 เพียง 3,000 คันและวางจำหน่ายระหว่างปี 1987-1990 เท่านั้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ที่ฮอนด้าได้ผลิตเครื่องยนต์แบบ 4 สูบสำหรับการแข่งออกมา RC30 สร้างความแตกต่างอย่างมาก ด้วยเครื่องยนต์ 748 cc. 4 สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำที่หมุนวนรอบเครื่องราวกับสัตว์ประหลาดที่ปั่นโซ่ได้ ซึ่งแน่นอนว่า มันส่งพลังให้รถพุ่งไปด้วยรอบสูงถึง 12,500 รอบต่อนาที ทิ้งห่างรถคันอื่นขาดกระจุยในการแข่งขันแชมเปี้ยนชิป จนได้รางวัลชนะเลิศทั้งในปี 1988 และ 1989
ในการวางจำหน่าย VFR750 ได้แยกย่อยออกเป็นหลายเวอร์ชั่น แต่เกือบทั้งหมด
เป็นรุ่นที่ได้ปรับลดความดุดันจากสนามแข่งลงมาแล้ว ตัวที่วางขายในญี่ปุ่น มีแรงม้า 87 HP และรอบเครื่องสูงสุดที่ 9,500 รอบต่อนาที ส่วนในสหรัฐฯ เป็นเวอร์ชั่น 118 HP ที่รอบเครื่องสูงสุด 11,000 รอบต่อนาที และวางจำหน่ายทั้ง 49 รัฐในปี 1990 และด้วยราคาราว 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณก็สามารถที่จะได้รับการบริการที่ดีจากตัวแทนของฮอนด้า เช่นเดียวกับการซื้อรถเฟอร์รารีสักคัน อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ทำให้ VFR750R เป็นหนึ่งในรถของฮอนด้าที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็คือ มันเป็นรถแข่งที่มีชิ้นส่วนของรถใช้งานบนถนนเป็นหลัก เพราะหากคุณซื้อชิ้นส่วน HRC มาใช้ เป็นเรื่องยากที่คุณจะนำไปขี่บนท้องถนนได้อย่างถูกกฎหมาย
VFR750 หรือ RC30 คือผู้ชนะการแข่งขัน World SBK Championship 2 ฤดูกาลแรกและเป็นหนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์ของฮอนด้าที่นักสะสมต้องการมากที่สุดตลอดกาล
ทั้งยังเป็นมอเตอร์ไซค์ของฮอนด้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฐานะรถที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ทำลายผู้แข่งขันทุกรายในสนามแข่ง ซึ่งมันก็ทำได้อย่างเหนือชั้นจริงๆ
5.NR750
NR750 เปิดตัวในฐานะรถไฮเปอร์สปอร์ต ที่กล้าก้าวข้ามขีดจำกัดของรถใช้งานบนท้องถนน มันคือสัตว์ร้ายที่ปฏิวัติวงการมอเตอร์ไซค์จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ ในปี 1992 ที่มันเปิดตัว
ประการแรกมันมีเครื่องยนต์ที่ไม่เหมือนใครเลย แทนที่จะใช้กระบอกสูบแบบกลมตามมาตรฐาน NR750 กลับใช้ "กระบอกสูบวงรี" ซึ่งฮอนด้าใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา โดยมีแนวคิดเริ่มต้นมาจาก NR500 Grand Prix ในช่วงปลายยุค 70 โจทย์ในการพัฒนาคือจะต้องมีมอเตอร์ไซค์ที่มีพลังเหมือนเครื่อง V-8 ขนาดเล็ก แต่จะได้รับพลังจากเครื่อง V-4 เพื่อให้เป็นไปตามกฎการแข่งของ GP
ในตัวเครื่องยนต์ แต่ละสูบมีแท่งเชื่อมต่อ 2 อันอยู่ใต้หัวเพื่อเสริมกำลังให้กระบอกสูบและป้องกันการโยก ฝาสูบยังทำขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีทั้งหมด 8 วาล์วต่อสูบ กลายเป็นเครื่องยนต์ 32 วาล์วที่โดดเด่น และแต่ละสูบยังมีหัวเทียน 2 หัวเพื่อช่วยในการเผาไหม้เชื้อเพลิงอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้รอบเครื่องไปสุดที่ 15,000 รอบต่อนาที เพื่อให้ได้พลัง 125 แรงม้าตามที่ต้องการ
เฟรมของ NR750 เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรถคันแรกๆ ที่ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ แม้ว่าแฟริ่งและชิ้นส่วนบางชิ้นจะเป็นพลาสติกเสริมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์หรือใยแก้ว ก็ตาม ในส่วนของการดีไซน์ NR750 ได้ปฏิวัติรูปลักษณ์และความรู้สึกของรถซุปเปอร์ไบค์ ด้วยท่อไอเสียคู่ที่ซ่อนอยู่ภายในรถแล้วไปโผล่ที่ตำแหน่งไฟท้าย,สวิงอาร์มแขนเดี่ยว และรูปทรง aerodynamic เพื่อให้เป็นรถที่ดูพลิ้วและลื่นไหลมากที่สุดในยุคนั้น นอกจากนี้ มันยังเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่มีหน้าปัดแบบดิจิทัล
แม้ว่าจะเป็นเพียงมาตรวัดความเร็วที่อยู่เหนือมาตรวัดตัวอื่น
มันได้นำไปสู่การพัฒนา Ducati 916 โดยตรง โดยเฉพาะสวิงอาร์มแขนเดี่ยวที่ได้รับการปรับปรุงทั้งยังนำไปสู่การมาถึงของไฮเปอร์ไบค์คันที่สองที่ชื่อ Suzuki Hayabusa ในเวลาต่อมา สิ่งที่น่าจดจำอย่างหนึ่งคือ NR750 มีราคาแพงลิบลิ่วด้วยค่าตัว 6 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 1992 และในปี 2020 นี้ ราคาก็พุ่งไปถึง 1.1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ มันถูกขายออกไปเพียง 300 คัน โดยรถมือหนึ่งไม่มีการซื้อขายในอเมริกาเหนือ แต่ส่งผ่านกันมาทางตลาดนักสะสม มันเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่หายากมาก ถึงขนาดที่ว่าการพบเห็น Ferrari Enzo ยังจะง่ายเสียกว่าการได้เจอ Honda NR750 ตัวเป็นๆ
6. CBR900RR
รถฮอนด้าที่ผลิตก่อนปี 1992 หลายรุ่นจะได้รับรหัส R ตามหลัง แต่ CBR900RR
เป็นคันแรกที่ได้รหัส RR ทีแรกมันเกือบจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว เพราะเดิมฮอนด้ามีซุปเปอร์สปอร์ตในงานวิจัยที่ชื่อ CBR750RR และรุ่นที่ใช้แข่งในชื่อ VFR750F อยู่แล้วแต่ “บาบะ ทาดาโอะ” หัวหน้าโครงการในขณะนั้น มีแนวคิดที่เรียกว่า "Total Control" คือซุปเปอร์สปอร์ตที่ขี่สนุกและควบคุมง่าย แต่การจะเพิ่ม cc ให้เป็น 1,000 ก็เป็นไปไม่ได้เพราะฮอนด้ามี CBR1000F อยู่ในตลาดแล้ว
ทาดาโอะ ได้สร้างสรรค์แนวทางใหม่ โดยใช้เครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิมคือ 750 cc. supersport bikes แต่ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 893 cc. ซึ่งให้พลังได้มากถึง 122 แรงม้า มากกว่าเครื่องยนต์ 1000 cc. ในเวลานั้น ทำให้หัวหน้าฝ่ายการตลาดของฮอนด้าต้องยอมรับ และทำให้ CBR900RR Fireblade ปรากฎโฉมในปี 1992 ด้วยสเปคที่น่าทึ่งหลายอย่าง เช่น น้ำหนักตัว 453 ปอนด์ ซึ่งมากกว่า CBR600F2 เพียง 4 ปอนด์ และด้วยระยะฐานล้อเพียง 1,405 มม. มันจึงคล่องตัวจนสามารถขี่เป็นวงกลมรอบรถซุปเปอร์สปอร์ตคันอื่นได้เลย
CBR900RR ทำยอดขายได้ดีมากจนทำให้ฮอนด้ากลายเป็น "ราชาซูเปอร์สปอร์ต"
ยาวนานหลายปี จนกระทั่งยามาฮ่าเปิดตัว R1 ในปี 1998 ความนิยมของมันก็แผ่วลงไป กระนั้น CBR900RR ก็ยังคงเป็นรถในตำนานแห่งศตวรรษที่ 20 อยู่ดี
7. XRV750 Africa Twin
คำว่า "dual sport"นั้นมีมานานกว่า 12 ปีแล้ว ก่อนหน้าที่ XRV750 จะเปิดตัวในปี 1989 โดยมีความหมายถึง มอเตอร์ไซค์วิบากที่มีป้ายทะเบียน ซึ่งก่อนหน้านั้น Honda NXR750V คือแชมเปี้ยนจาก Paris-Dakar ในปี 1986 และ 1987 และในปี 1988 ด้วย Honda NXR800V
ด้วยข้อมูลจากการแข่งขันและการปรับแต่งรถที่ใช้แข่งเพื่อให้เป็นรถที่ใช้งานได้จริง ทำให้ฮอนด้าสร้างเครื่องยนต์ V-twin ที่สามารถวิ่งบนถนนได้ โดยใช้วัสดุอย่างอลูมิเนียมที่เบาขึ้น และระบบกันสะเทือนสำหรับการเดินทางไกลที่สามารถจัดการกับถนนขรุขระได้ดี นับเป็นการปฏิวัติวงการ dual-sport ในขณะนั้นอย่างแท้จริง
ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 ฮอนด้าได้ปรับปรุงการออกแบบโดยลดเบาะลงต่ำเล็กน้อย
เพิ่มระบบ Tripmaster ที่ได้มาจากการแข่ง Paris-Dakar ปรับแต่งคลัตช์และกระปุกเกียร์ ทำให้มันกลายเป็นรถที่คุ้มค่าอย่างยิ่งในการใช้งาน Africa Twin จึงไม่ใช่แค่มอเตอร์สปอร์ตหรูหราเพื่อการแข่งขันอีกต่อไป แต่สามารถสามารถใช้งานได้จริงทั้งบนถนน ผืนทราย และทางทุรกันดารทุกแห่ง
Africa Twin สิ้นสุดการผลิตในปี 2003 แต่ด้วยความสำเร็จของคู่แข่งอย่าง BMW R1200GS ,Ducati Multistrada, Triumph Tiger Explorer ฮอนด้า07’นำ Africa Twin กลับมาใหม่ กลายเป็น CRF1000L และ CRF1100L แต่ XRV750 Africa Twin ก็ยังคงเป็นตำนานรถวิบากแชมเปี้ยน Paris-Dakar 2 สมัยที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
8.Rebel 500
Rebel 500 เปิดตัวในปี 2016 (นับเป็นโมเดลของปี 2017)เป็นการกลับมายังจุดที่
“โซอิจิโร ฮอนด้า” เคยอยากให้ฮอนด้าเป็นคือ "ขับขี่สนุก ใช้งานง่าย และเชื่อถือได้"
ในยุคที่มอเตอร์ไซค์ดูเหมือนจะมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ คล้ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้ง Rebel 500 และ Rebel 300 ได้รับการออกแบบมาในบล็อคเดียวกัน ผลลัพธ์คือ
รถนั่งสบายที่ มิคูระ เคอิตะ หัวหน้าฝ่ายออกแบบ กล่าวว่า "มันเรียบง่ายอย่างแท้จริง"
Rebel 500 ใช้เครื่องยนต์บล็อค 500 cc. ที่เคยใช้งานใน CBR500R CB500F และ
CB500X โดยเป็นเครื่องยนต์วางเรียง 2 สูบสุดทนทาน ที่จุดระเบิดง่ายดาย มันมีรูปแบบและเสน่ห์ในสไตล์ครุยเซอร์ ตำแหน่งของผู้ขับขี่มีมาตรฐาน ขณะที่การบำรุงรักษาก็ง่าย
Rebel 500 เน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก และทำยอดขายได้คงที่ในสหรัฐฯ แคนาดา ยุโรป และเอเชีย แน่นอนว่า ไม่มีรถรุ่นไหนจะสมบูรณ์แบบ คุณอาจเห็นคลิปประเภท
"รวมปัญหารถรุ่นนี้ของผม"ได้ใน social media และทำให้คนที่คิดจะซื้อเปลี่ยนใจ
แต่สิ่งที่ฮอนด้าทำ ก็เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่ Super Cup ออกมาในปี 1950
คือเชิญผู้ขับขี่หน้าใหม่ให้มาทดลองรถ
Rebel 500 เป็นมอเตอร์ไซค์ระดับเริ่มต้น สำหรับผู้ต้องการเรียนรู้วิถี "ไบค์เกอร์"
ที่สะดวกสบาย โดยใช้เงินและเวลาไม่มากนักกับการบำรุงรักษา รวมทั้งราคา 6,200
ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ไม่แพงเลยสำหรับการเปิดประตูต้อนรับรถคันใหม่ มันให้ความสนุกสนานในการขับขี่ทั้งในเมืองและการเดินทางแบบ "เที่ยวภูเขาใน 1 วัน" เหมือนเป็นการย้อนกลับไปสู่ Honda Rebel 250 ในช่วงกลางยุค 80
Rebel 500 คือรถที่ให้ความเชื่อมั่นกับผู้ขับขี่ ควบคุมง่าย และให้ความสนุกสนานทุกครั้งที่คุณนั่งลงแล้วบิดคันเร่ง มันคือรถอย่างที่ “โซอิจิโร่ ฮอนดะ” ชอบเลยล่ะ
ลิ้งค์บทความ
https://www.webbikeworld.com/the-best-honda-motorcycles-ever-made/